1. เศรษฐกิจสหรัฐฯ จะสามารถเข้าสู่ภาวะ Soft-Landing ได้จริงหรือไม่?

เศรษฐกิจโลกปี 2025 ในภาพรวมมีแนวโน้มเติบโตได้อย่างมีเสถียรภาพ หลายประเทศสามารถรับมือกับอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงที่ผ่านมา และด้วยทิศทางเงินเฟ้อที่ทยอยปรับลดลง ส่งผลให้ธนาคารกลางสามารถผ่อนคลายนโยบายการเงินได้ต่อเนื่อง ในรายประเทศ เศรษฐกิจสหรัฐฯ มีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่อง และยังไม่มีสัญญาณที่บ่งชี้ว่าจะเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยรุนแรง ทั้งภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจไม่มีภาระหนี้สินที่สูงเกินไป โดยเราเชื่อว่าการบริโภคและการลงทุนของภาคธุรกิจที่ยังคงมีโมเมนตัมการเติบโตดี จะช่วยหนุนให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ ในปี 2025 ขยายตัวได้ในตามระดับศักยภาพปกติ (Trend Growth)

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าปัจจัยต่างๆ ในภาพรวมยังดูเป็นบวกต่อตลาด แต่การพิจารณาถึงความเสี่ยงย่อมมีความสำคัญสำหรับการวางแผนการลงทุนในปี 2025 โดยเราได้ไล่เรียงออกมาทั้งหมด 5 ปัจจัยเสี่ยงสะท้อนผ่านคำว่า "IF" และ "BUT" ได้แก่

1. I - Inflation Resurging (เงินเฟ้อกลับมาเพิ่มขึ้น) แม้การขึ้นอัตราดอกเบี้ยที่ผ่านมาจะช่วยทำให้เงินเฟ้อทยอยชะลอตัวลงมาได้ แต่หากย้อนกลับไปดูเหตุการณ์ในปี 2022 จะพบว่าเมื่อเงินเฟ้อกลับมาเพิ่มขึ้น ไม่ว่าจะจากราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่สูงขึ้น หรือเกิดมาตรการกีดกันทางการค้าใหม่ ๆ และทำให้ธนาคารกลางจำเป็นต้องกลับมาขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย ก็จะนำไปสู่ความเสี่ยงที่เกิดจากความสัมพันธ์เชิงบวก (Positive Correlation) ระหว่างหุ้นและพันธบัตร คือราคาหุ้นและพันธบัตรปรับตัวลงพร้อมกัน

2. F - Fiscal Discipline (ความเสี่ยงด้านวินัยทางการคลัง) เหตุการณ์ในตลาดพันธบัตรรัฐบาลสหราชอาณาจักรเมื่อเดือนกันยายน 2022 ที่ผ่านมา คือตัวอย่างของความล้มเหลวด้านวินัยการคลัง ที่กระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน และในปีนี้หากรัฐบาลสหรัฐฯ ขยายมาตรการลดภาษี และเพิ่มการขาดดุลงบประมาณ ก็จะเป็นความเสี่ยงด้านความยั่งยืนทางการคลังได้

3. B - Borders and Geopolitics (ความเสี่ยงจากประเด็นด้านพรมแดนและภูมิรัฐศาสตร์) ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ในช่วงสามปีที่ผ่านมาได้สร้างความเสียหายต่อทั้งห่วงโซ่อุปทาน และเส้นทางการขนส่งทั่วโลก อีกทั้งนโยบายผู้อพยพในสหรัฐฯ และยุโรปที่เข้มงวดมากขึ้น อาจลดความสามารถในการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะยาว

4. U - Unemployment and Recessions (การว่างงานและภาวะเศรษฐกิจถดถอย) ภาวะเศรษฐกิจถดถอยมักเกิดจากการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจอย่างรุนแรงและรวดเร็ว (Economic Shock) ดังนั้น การหากลยุทธ์เพื่อป้องกันความเสี่ยงดังกล่าวจึงเป็นเรื่องที่สำคัญ โดยเฉพาะเมื่อราคาสินทรัพย์เสี่ยง เช่น หุ้นหรือหุ้นกู้ดอกเบี้ยสูง (High Yield Bond) ยังสะท้อนว่าปัจจุบันตลาดมองความเป็นไปได้ของภาวะเศรษฐกิจถดถอยในระดับต่ำ

5. T - Trade and Industrial Policy (ความเสี่ยงจากนโยบายการค้าและอุตสาหกรรม) มาตรการภาษีนำเข้ายังคงเป็นความเสี่ยงที่ชัดเจนในปีนี้ ซึ่งอาจทำให้เงินเฟ้อสูงขึ้น และจุดชนวนความตึงเครียดทางการค้า อีกทั้งการเพิ่มขึ้นของนโยบายอุตสาหกรรมที่สนับสนุนภาคการผลิตในประเทศตนเอง อาทิ เทคโนโลยี, AI และพลังงานทดแทน จะนำไปสู่ผลิตภาพการผลิตที่ลดลง และต้นทุนการผลิตที่เพิ่มขึ้น จากการทวนกระแสโลกาภิวัฒน์หรือ Deglobalization

โดยสรุป แม้เศรษฐกิจโลกยังมีแนวโน้มเติบโตได้ต่อเนื่องในลักษณะ Soft Landing แต่ความเสี่ยงข้างต้นยังคงเป็นปัจจัยที่นักลงทุนต้องจับตามองอย่างใกล้ชิดในปี 2025

รูปที่ 1 วัฏจักรเศรษฐกิจสหรัฐฯ

Source: Bureau of Economic Analysis, FactSet, U.S. Census Bureau, J.P. Morgan Asset Management. Data for light vehicle sales is quarterly apart from the latest monthly data point. Guide to the Markets – Asia. Data reflect most recently available as of 31/12/24.

แต่จังหวะและขนาดของการลดดอกเบี้ยนโยบายจะขึ้นอยู่กับทิศทางเงินเฟ้อและการเติบโตทางเศรษฐกิจที่แตกต่างกันในแต่ละประเทศ

แม้ว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) เริ่มต้นปรับลดอัตราดอกเบี้ยถึง 0.5% ในเดือนกันยายนที่ผ่านมา แต่การดำเนินนโยบายในอนาคตยังขึ้นอยู่กับเงื่อนไขทางเศรษฐกิจเป็นสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตลาดแรงงาน ซึ่งข้อมูลล่าสุดบ่งชี้ว่าตลาดแรงงานสหรัฐฯ ยังคงแข็งแกร่งอยู่ ซึ่งลดโอกาสที่ Fed จะต้องรีบลดอัตราดอกเบี้ยลงอย่างรวดเร็ว

ในยุโรป เศรษฐกิจที่เติบโตต่ำกว่าคาด ส่งผลให้ตลาดคาดว่าธนาคารกลางยุโรป (ECB) อาจต้องลดดอกเบี้ยลงหลายครั้งและลดลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งแม้ว่าเงินเฟ้อในภาคบริการจะยังคงสูงอยู่ แต่ทิศทางเงินเฟ้อโดยรวมที่ชะลอลง ช่วยให้ ECB สามารถผ่อนคลายนโยบายการเงินได้ เพื่อหนุนภาวะเศรษฐกิจที่อ่อนแอ

ทั้งนี้ จากสถานการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจที่แตกต่างกันระหว่างยุโรปและสหรัฐฯ ทำให้เรามองว่า มีโอกาสที่ ECB อาจผ่อนคลายนโยบายการเงินได้มากกว่าทางด้านของ Fed ในทางตรงกันข้าม ธนาคารกลางญี่ปุ่นมีแนวโน้มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไป เนื่องจากต้นทุนค่าจ้างที่เพิ่มขึ้นส่งผลต่อเงินเฟ้อในภาคบริการ

ด้านตลาดเกิดใหม่ (EM) ตั้งแต่ช่วงต้นปี 2024 ที่ผ่านมา การเปลี่ยนแปลงความคาดหวังของตลาดเกี่ยวกับการลดดอกเบี้ยของ Fed และการแข็งค่าของดอลลาร์สหรัฐฯ ส่งผลให้ธนาคารกลางใน EM ต้องหันมาพิจารณาการรักษาสมดุลระหว่างเสถียรภาพทางการเงิน การเติบโตทางเศรษฐกิจ และเงินเฟ้อในประเทศ อย่างไรก็ดี เมื่อ Fed เริ่มเข้าสู่วัฏจักรดอกเบี้ยขาลง ความกังวลเกี่ยวกับความเสี่ยงจากการอ่อนค่าของค่าเงินใน EM จึงเริ่มผ่อนคลายลง และทำให้ธนาคารกลางประเทศเหล่านี้สามารถกลับมาให้ความสำคัญกับสภาวะเศรษฐกิจภายในประเทศได้ โดยระดับของการผ่อนคลายนโยบายการเงินของกลุ่มประเทศ EM ในภูมิภาคเอเชีย มีแนวโน้มจะผ่อนคลายน้อยกว่าในสหรัฐฯ จากปัจจัยเชิงโครงสร้างที่เป็นบวกต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ

อย่างไรก็ตาม เส้นทางของการผ่อนคลายนโยบายการเงินในระยะข้างหน้ายังเผชิญความท้าทายจากปัจจัยต่าง ๆ เช่น การชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ หรือการเปลี่ยนแปลงนโยบายการค้า ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจประเทศพัฒนาแล้วและตลาดเกิดใหม่ไม่เท่ากัน นำไปสู่รอบการลดดอกเบี้ยที่แตกต่างกันไปในแต่ละประเทศทั่วโลก

รูปที่ 2 คาดการณ์*ของตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยในระยะข้างหน้า

Source: Bank of England, Bank of Japan, European Central Bank, U.S. Federal Reserve, J.P. Morgan Asset Management; Bloomberg L.P. *Expectations are based on overnight index swap rates. Past performance is not a reliable indicator of current and future results. Guide to the Markets – Asia. Data reflect most recently available as of 19/11/24.

การแพร่ระบาดของ COVID-19 และความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย-ยูเครน ต่างสะท้อนให้เห็นถึงความเปราะบางของห่วงโซ่อุปทานทั่วโลก และนำไปสู่การย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศที่เป็นมิตร (Friendshoring) มากขึ้น รวมไปถึงการหันมาดำเนินนโยบายสนับสนุนอุตสาหกรรมในประเทศตนเองมากขึ้นในหลายประเทศทั่วโลก ซึ่งชัยชนะของประธานาธิบดีทรัมป์จากการเลือกตั้งครั้งล่าสุด นับเป็นตัวเร่งให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในลักษณะนี้มากขึ้น จากแนวโน้มการปรับขึ้นภาษีนำเข้าเพิ่มขึ้น เนื่องจากแม้ว่ากฎหมายการค้าฉบับใหม่ใดๆ จะต้องได้รับการสนับสนุนจากสภาคองเกรสเสียก่อน แต่ประธานาธิบดียังสามารถใช้คำสั่งพิเศษเพื่อกำหนดภาษีศุลกากร ในกรณีที่มองว่าเป็นการปฏิบัติทางการค้าที่ไม่เป็นธรรม หรือด้วยเหตุผลด้านความมั่นคงของชาติได้ อย่างไรก็ตาม ประเด็นภาษีนำเข้าก็มักจะถูกใช้เป็นเครื่องมือในการเจรจามากกว่า ส่วนระดับภาษีที่เก็บจริงอาจต่ำกว่าหรือจำกัดแค่ในบางกลุ่มสินค้า

จากการศึกษาของ J.P. Morgan Economic Research (ข้อมูล ณ พฤศจิกายน 2024) พบว่า การกำหนดภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ในอัตรา 60% ต่อสินค้าจากจีน จะทำให้การเติบโตของ GDP จีนลดลง 2% ในช่วง 4-6 ไตรมาสถัดไป เมื่อกำหนดให้ปัจจัยอื่นคงที่ โดยการส่งออก การลงทุน และการบริโภคจะได้รับผลกระทบเชิงลบโดยตรง และส่งผลต่อไปยังความเชื่อมั่นของธุรกิจ ซึ่งจีนมีแนวโน้มเพิ่มมาตรการทางการคลัง และตอบโต้ด้วยการขึ้นภาษีนำเข้า รวมถึงการลดค่าเงิน เพื่อลดผลกระทบนี้

นอกจากนี้ ความตึงเครียดทางการค้าเป็นความท้าทายที่คุ้นเคยสำหรับผู้ส่งออกจีน แม้ว่าสัดส่วนการนำเข้าของสหรัฐฯ จากจีนจะลดลงไปราว 5% เมื่อเทียบกับปลายปี 2017 แต่สัดส่วนการส่งออกทั่วโลกของจีนกลับเพิ่มขึ้น เนื่องจากผู้ส่งออกจีนมีการจัดการความเสี่ยง โดยการกระจายตลาดส่งออกและเพิ่มกำลังการผลิตในตลาดเกิดใหม่อื่นๆ เพื่อรับมือกับมาตรการภาษี ทำให้พึ่งพาการส่งออกไปสหรัฐฯ น้อยลง และทำให้ปัจจุบันมีความพร้อมรับมือกับการเพิ่มขึ้นของภาษีนำเข้าได้ดีกว่าปี 2018

ในทางตรงกันข้าม สินค้าส่งออกจากอาเซียน และเม็กซิโกไปสหรัฐฯ กลับมีสัดส่วนเพิ่มขึ้น ซึ่งแนวโน้มนี้จะดำเนินต่อไปหรือไม่ขึ้นอยู่กับทั้งระดับภาษีในอนาคต สินค้าที่เป็นเป้าหมาย และข้อจำกัดในการเปลี่ยนลำเรือ (Transshipment) ปัจจัยสำคัญที่จะกำหนดผู้ชนะคือ ความสามารถในการแข่งขันด้านต้นทุน, นโยบายสนับสนุนจากรัฐบาล, ความคล้ายคลึงของสินค้าทดแทนจากจีน, การผสานเข้ากับห่วงโซ่อุปทานที่มีอยู่ รวมถึงโครงสร้างพื้นฐานและศักยภาพในการตอบสนองต่อความต้องการสินค้าที่เพิ่มขึ้น จากข้อมูลในปี 2018-2019 ชี้ให้เห็นว่าผู้ที่ได้รับประโยชน์เหล่านี้ไม่เพียงแต่เป็นทางผ่านไปยังสหรัฐฯ ให้กับสินค้าจากจีน แต่ยังมีการเพิ่มมูลค่าของสินค้า และส่งออกไปยังประเทศอื่นๆ นอกเหนือจากสหรัฐฯ เนื่องจากการขยายกำลังการผลิตช่วยให้เกิด Economy of Scale และโอกาสการค้าใหม่ๆ

โดยสรุป การกระจายห่วงโซ่อุปทานนั้นได้ดำเนินมาหลายปีแล้ว และการขึ้นภาษีนำเข้าจะเร่งให้เกิดการย้ายฐานเร็วขึ้น ซึ่งผู้ผลิตที่มีต้นทุนต่ำมีโอกาสได้รับประโยชน์ แต่หากทรัมป์เพิ่มภาษีนำเข้าเป็นวงกว้าง อาจทำให้เกิดการย้ายฐานช้าลงและนำไปสู่ต้นทุนที่สูงขึ้น อย่างไรก็ดี แม้ความเชื่อมโยงทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีนโดยตรงจะลดลง แต่ถือว่าไม่ได้แยกออกจากกันทั้งหมด จีนยังคงเป็นศูนย์กลางการผลิตที่สำคัญ นอกจากนี้ ปัจจุบันบริษัทจีนมีความพร้อมรับมือได้ดีกว่าในอดีต

รูปที่ 3 สัดส่วนการนำเข้าของสหรัฐฯ จากแหล่งนำเข้าต่างๆ

Source: FactSet, J.P. Morgan Asset Management, U.S. Census Bureau; Latest data are as of 2023. Guide to the Markets – Asia. Data reflect most recently available as of 31/12/24.

ประเด็นที่น่ากังวลสำหรับตลาดหุ้นสหรัฐฯ คือผลตอบแทนที่กระจุกตัวอยู่เพียงไม่กี่บริษัทในกลุ่มเทคโนโลยีขนาดใหญ่ โดยในปี 2024 คาดว่ากำไรของบริษัทเหล่านี้เติบโตถึง 36.2% ในขณะที่บริษัทอื่นๆ ในดัชนีเติบโตเพียง 3.1% อย่างไรก็ตาม ความสำคัญไม่ได้อยู่ที่กำไรเพียงอย่างเดียว เพราะบริษัทขนาดใหญ่เหล่านี้ต่างมีการลงทุนขนาดใหญ่ใน AI และการวิจัยและพัฒนา (R&D) ชี้ให้เห็นว่าบริษัทในกลุ่มเทคโนโลยีและบริษัทที่เกี่ยวข้องนี้จะยังคงมีบทบาทสำคัญในตลาดต่อไป

อย่างไรก็ตาม เริ่มมีสัญญาณว่า การเติบโตของกำไรต่อหุ้นจะกระจายไปยังกลุ่มอื่นๆ โดยอัตราการเติบโตของกำไรบริษัทกลุ่ม Mag-7 ชะลอตัว ในขณะที่อัตราการเติบโตของกำไรบริษัทอื่นๆ ในดัชนีเริ่มเร่งตัวขึ้น นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าบริษัทที่เหลือในดัชนีจะมีบทบาทมากขึ้นในปี 2025 เนื่องจากวัฏจักรดอกเบี้ยขาลง และความไม่แน่นอนจากการเลือกตั้งที่คลี่คลายจะหนุนการฟื้นตัวของหุ้นกลุ่มวัฏจักร ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงด้านการกระจุกตัวและมูลค่าหุ้นสหรัฐฯ ในภาพรวม

ส่วนญี่ปุ่น การปฏิรูปด้านการกำกับดูแลกิจการเป็นปัจจัยหนุนตลาดหุ้นในปีที่ผ่านมา และนับเป็นการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างระยะยาวที่จะส่งผลดีต่อตลาดอย่างต่อเนื่อง ท่ามกลางความผันผวนหลังฝั่งรัฐบาลสูญเสียเสียงข้างมากในสภา แต่เมื่อดูแนวโน้มโดยรวมของตลาดยังคงเป็นบวก จากการเติบโตของค่าจ้าง และมูลค่าหุ้นที่น่าสนใจเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ โดยแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ และค่าเงินเยนจะมีบทบาทสำคัญต่อตลาดหุ้นญี่ปุ่น

สำหรับตลาดหุ้นยุโรป การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไม่เป็นไปอย่างที่คาดไว้ อย่างไรก็ตาม ยังคงมีปัจจัยบวกอยู่อย่างการปรับลดอัตราดอกเบี้ยที่เร็วขึ้นของ ECB จากเงินเฟ้อที่ลดลงและการเติบโตที่ช้ากว่าคาด ซึ่งจะช่วยผู้ประกอบการ และสนับสนุนการจับจ่ายของผู้บริโภค นอกจากนี้ ยังคงมีความท้าทาย จากประเด็นการขึ้นภาษีและความตึงเครียดทางการค้า แต่การเติบโตของรายได้ที่แท้จริง (รายได้หักลบเงินเฟ้อ) จะช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นผู้บริโภค และหนุนการบริโภคได้

รูปที่ 4 อัตราการเติบโตของกำไรและมูลค่าหุ้นทั่วโลก

Source: FactSet, MSCI, Standard & Poor’s, J.P. Morgan Asset Management. (Left) Next 12 months consensus estimates are based on pro-forma earnings and are in U.S. dollars. (Right) The purple bars for EM and China show 20-year averages due to a lack of available data. Past performance is not a reliable indicator of current and future results. Guide to the Markets – U.S. Data are as of November 13, 2024.

แนวโน้มเศรษฐกิจเวียดนามยังเติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง โดยคาดว่า GDP ในปี 2025 จะขยายตัวได้ในระดับ 6-7% ซึ่งได้รับแรงหนุนจาก 1) ภาคการผลิตเพื่อส่งออก 2) การบริโภคภายในประเทศที่ได้รับแรงหนุนจากภาคการผลิต และ 3) เม็ดเงินลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน ทั้งนี้ภาคส่งออกจะยังคงเป็นส่วนที่สำคัญต่อการเติบโต โดยคาดว่าจะเติบโตได้กว่า 10% ในปี 2025 และสหรัฐฯ เป็นตลาดส่งออกที่สำคัญที่สุดคิดเป็นกว่า 29% ของมูลค่าส่งออกรวมในปีที่ผ่านมาและมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง แม้ว่าจะมีความไม่แน่นอนด้านนโยบายทางการค้าของสหรัฐฯ เป็นปัจจัยกดดันในระยะสั้นก็ตาม นอกจากนี้เวียดนามยังมีข้อตกลงทางการค้ากับหลายประเทศทั่วโลก ซึ่งจะเพิ่มโอกาสการส่งออกสินค้าของเวียดนามไปยังตลาดใหม่ๆ

เงินเฟ้อเวียดนามในปี 2025 คาดว่าจะยังอยู่ต่ำกว่ากรอบที่รัฐบาลกำหนดที่ 4-4.5% จากราคาพลังงานและราคาสินค้าอุปโภคบริโภคที่อยู่ในระดับทรงตัว ทำให้อัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Refinancing rate) มีแนวโน้มทรงตัว อย่างไรก็ตาม หากเงินเฟ้อปรับตัวขึ้นสู่กรอบที่กำหนดหรือสูงกว่า ธนาคารกลางเวียดนามอาจปรับดอกเบี้ยลงในลักษณะค่อยเป็นค่อยไป ไม่ทำให้เกิดผลกระทบเป็นวงกว้างต่อเศรษฐกิจ ด้านการลงทุน FDI ตลาดคาดว่าเม็ดเงินจะยังคงหลั่งไหลเข้าอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้การย้ายฐานการผลิตจากจีน (Chna+1) จะยังเกิดขึ้นต่อเนื่อง ซึ่งคาดว่าเวียดนามจะได้รับอานิสงส์จากสงครามทางการค้ารอบใหม่นี้

ตลาดคาดว่ากำไรบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เวียดนาม (VN Index) มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องในปี 2025 ที่ 18.6% ซึ่งเป็นการเร่งตัวขึ้นจากปี 2024 และเป็นการเติบโตในทุกอุตสาหกรรม โดยอุตสาหกรรมที่มีกำไรเติบโตสูงกว่าตลาดโดยรวมได้แก่ Consumer Discretionary ซึ่งสามารถเติบโตได้ดีตามการเติบโตของเศรษฐกิจ ขณะที่ Material และ Real Estate จะฟื้นตัวจากความต้องการอสังหาริมทรัพย์ของประชาชนในประเทศที่ทยอยฟื้นตัว และ Information and technology ที่ยังคงเติบโตอย่างแข็งแกร่งโดยเฉพาะบริษัทที่ได้รับอานิสงส์จากความต้องการพัฒนาด้าน AI

ในระยะถัดไป แม้ว่ากำไรในกลุ่ม Financials ที่มีสัดส่วนในตลาดหุ้นสูงถึง 44.2% จะเติบโตน้อยกว่าตลาดโดยรวม แต่ยังเป็นการเติบโตที่ดีต่อเนื่องจากปีก่อนหน้า

โดยสรุปแล้วในปัจจุบันตลาดหุ้นเวียดนามมีการซื้อขายที่ไม่แพงอยู่ที่ระดับ P/E 10.2 เท่า ณ สิ้นปี 2024 ต่ำกว่าระดับค่าเฉลี่ย 15 ปีที่ 11.8 เท่า เทียบกับการเติบโตของกำไรที่ 18.6% ทั้งนี้ปัจจัยบวกจากทิศทางดอกเบี้ยนโยบายที่เป็นแนวโน้มทรงตัวหรือลง นโยบายสนับสนุนจากทางรัฐบาล ตลอดจนเม็ดเงินลงทุน FDI จะช่วยสนับสนุนการเติบโตกำไรของบริษัทจดทะเบียนต่อไป

รูปที่ 5 เม็ดเงินลงทุน FDI ที่ลงทุนจริงแล้ว (Implemented FDI) ในเวียดนาม

Source: General Statistics Office of Vietnam, Bloomberg, Kasikorn Asset Management. Data reflect most recently available as of 15/01/25.

เรามีมุมมองเป็นบวกต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจไทยในระยะสั้น แต่เป็นลบในระยะกลางถึงยาว โดย GDP ในไตรมาส 4/2024 คาดว่าจะขยายตัวสูงกว่าไตรมาส 3/2024 ที่ขยายตัว 3.0% โดยมีแรงสนับสนุนจากมาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายของภาครัฐ อาทิ โครงการแจกเงิน 10,000 บาท มาตรการให้เงินช่วยเหลือชาวนา ประกอบกับการเข้าสู่ฤดูการจับจ่ายใช้สอย และเข้าสู่ฤดูท่องเที่ยว ส่วนโมเมนตัมการเติบโตใน Q1/2025 คาดว่าจะยังทรงตัวได้ในระดับสูง สนับสนุนจากทั้งมาตรการแจกเงิน 10,000 เฟส 2 และมาตรการอื่นๆ เพิ่มเติมอย่างการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ มาตรการ Easy E-receipt 2.0 ประกอบกับไตรมาส 1 ยังอยู่ในฤดูจับจ่ายใช้สอยและฤดูท่องเที่ยว สำหรับทั้งปี 2025 คาดว่า GDP จะขยายตัวอยู่ใน 2.4-2.9% โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการใช้จ่ายภาครัฐ การลงทุนและการบริโภคภาคเอกชน อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงด้านลบอาจจะเกิดจากการส่งออก โดยเฉพาะเมื่อได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษีการค้าของสหรัฐฯ ที่น่าจะมีความชัดเจนขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี

มุมมองต่อตลาดหุ้น คาดว่า SET Index จะแกว่งตัวในกรอบและยังไม่สามารถกลับมาเป็นวัฏจักรขาขึ้นได้ เนื่องจากการเติบโตของ GDP รายไตรมาสมีแนวโน้มไม่สามารถอยู่ในระดับที่สูงกว่า 3.0% ได้อย่างยั่งยืน ดังนั้นการคัดเลือกหุ้นรายตัว หรือ Stock Selection จึงเป็นสิ่งสำคัญ ท่ามกลางเศรษฐกิจที่ยังเติบโตในระดับต่ำ การฟื้นตัวของผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนจึงยังไม่ใช่เป็นการฟื้นตัวในวงกว้างทั้งตลาด ทั้งนี้ เรามองเป้า SET Index ปี 2025 ที่ 1500-1550 จุด คาดการณ์การเติบโตของกำไรบริษัทจดทะเบียนที่ 10.5% ณ ระดับ forward P/E 2025 ในปัจจุบันที่ 14.4 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 10 ปี ย้อนหลังที่ 15.4 เท่า

อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นไทยยังมีโอกาสเผชิญความท้าทายจากหลากหลายปัจจัยในปีนี้ อาทิ ปัจจัยต่างประเทศอย่างการประกาศนโยบายเศรษฐกิจและการค้าของสหรัฐฯ ซึ่งคาดว่าจะสร้างความผันผวนต่อค่าเงินและ Fund Flow ต่างชาติ ส่วนปัจจัยในประเทศ ตลาดหุ้นไทยมีความเสี่ยงจากการครบกำหนดของกองทุนรวมหุ้นในระยะยาว หรือ LTF ที่ผู้ถือหน่วยลงทุนทุกคนสามารถขายออกได้ทั้งหมด (LTF redemption) โดยแม้ว่าเม็ดเงินจากกองทุนวายุภักดิ์และกองทุนหุ้นไทยประหยัดภาษีอื่นๆ จะมีเม็ดเงินที่ลงทุนได้เพิ่มเติมในตลาดหุ้นไทย แต่คาดว่าจะช่วยลดผลกระทบจาก LTF redemption ได้ระดับหนึ่งเท่านั้น เนื่องจากเม็ดเงินลงทุนใหม่รวมแล้วยังน้อยกว่ายอด

รูปที่ 6 องค์ประกอบการขยายตัวเศรษฐกิจ (Contribution to GDP Growth)

Source: National Economic and Social Development Council Thailand, Kasikorn Asset Management. Data reflect most recently available as of 31/12/24.

ข้อมูลนี้จัดทำขึ้นเพื่อเผยแพร่ทั่วไป ผู้ใช้จึงต้องระมัดระวังด้วยวิจารณญาณและรับผิดชอบในความเสี่ยงด้วยตนเอง
ผู้ลงทุนโปรดทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน

Insight Library

Insight Library